ใครที่มีโอกาสใช้ GMail คงได้เห็นประสิทธิภาพในการจัดการของมันดี หรือบางคนอาจจะไม่รู้สักเท่าไร
วันนี้จึงมาทำความรู้จักกับ GMail ซึ่งถือวันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2547 ที่ผ่านมา GMail ซึ่งดูผิวเผินมีลักษณะเป็นการให้บริการเว็บเมล์ทั่วๆ ไป เหมือนรุ่นพี่อย่าง Hotmail หรือ Mail.Yahoo ที่ให้บริการมานานแล้ว
เว็บเมล์ก็คือบริการที่ให้ผู้ใช้มีอี-เมลเป็นของตัวเอง เช่น
somchai@hotmail.com โดยการใช้ก็จะต้องไปที่หน้าของผู้ให้บริการเช่น Hotmail เพื่อทำการล็อกอิน และการดำเนินการทุกอย่าง เช่น อ่านเมล์ ส่งเมล์ ตอบเมล์ จะต้องผ่านหน้าเว็บที่เขากำหนดไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งส่วนนี้เองที่ผู้ให้บริการมักจะแทรก banner โฆษณาไว้เป็นการแลกเปลี่ยนกับอี-เมลฟรีที่เราใช้ มองในแง่ของผู้ใช้ก็ไม่เสียหายอะไร ดูโฆษณานิดหน่อย ตราบใดที่ยังให้เราใช้ฟรี
ส่วน Google เปิดตัวได้ไม่เท่าไร GMail ก็กลายเป็น talk of the world ไปเลย เป็นเรื่องที่คนบนอินเตอร์เน็ตพูดถึงกันมากที่สุด เพราะสิ่งที่ GMail เสนอให้แก่ผู้ใช้บริการเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน GMail ให้เนื้อที่เก็บเมล์ฟรีๆ ถึง 1000 Mbytes (1 G) หนึ่งเมล์เฉลี่ยประมาณ 3Kbytes (3,000 ตัวอักษร) เรียกว่าเก็บอี-เมลได้กว่า 300,000 ฉบับ เรียกว่าไม่ต้องคิดว่าจะลบเมล์ไหนดี หรือเมื่อไรเมล์บอกซ์จะเต็ม
แต่หลายคนคงคิดว่า พอมีเมล์เยอะอย่างนี้ หากเราจะอ่านซ้ำก็คงต้องหากันเหงื่อตกเลยซิ ว่าเมล์ไหนเป็นเมล์ไหน เก็บไว้ที่ไหน ตั้งเป็นแสนๆ เมล์ เรื่องนี้ GMail บอกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะเขาจะใช้เทคโนโลยีการค้นหาความเร็วสูงแบบ google นั่นล่ะ ในการหาเมล์เรา
ที่สำคัญ เขามีเทคโนโลยี Data Mining (เทคโนโลยีเหมืองข้อมูล) นำเอาอี-เมลมาจัดหมวดหมู่ตามความหมายของมัน พูดง่ายๆ ว่า GMail รู้ว่าเนื้อเรื่องที่คุณเขียนในเมล์ หรือเมล์ที่มีคนส่งให้กำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ระบบคอมพิวเตอร์จะรู้ มันจะประมวลผลเองอัตโนมัติจากคำศัพท์และประโยค มาตีเป็นความหมาย โดยอาศัยเทคโนโลยี Natural Language Processing แปลเป็นความหมายแล้วจัดหมวดหมู่ตามความหมาย เช่น กรุ๊ปเมล์ที่พูดถึงเรื่องกีฬา เมล์ที่พูดเรื่องการเรียน เป็นต้น
ตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดขายของ GMail ขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่ทำให้คนคุยกัน วิเคราะห์วิจารณ์ ไม่รู้จบทั่วโลก เพราะ GMail รู้ว่าคุณกำลังคุยกันเรื่องอะไร ทำให้ GMail จับโฆษณาสินค้าที่ตรงประเด็นกับเรื่องในเนื้อเมล์ และใกล้เคียงกับความสนใจของคุณ ใส่มาให้คุณโดยอัตโนมัติ เช่น ว่าในอี-เมลคุณกำลังคุยกับเพื่อนเรื่อง ไอ้แมงมุมที่ดูเมื่อคืนเด็ดมากเลย
ระบบ GMail วิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไอ้แมงมุม ที่คุณพูดถึงคือหนังที่กำลังฉายอยู่ แสดงว่าคุณอาจสนใจ DVD เรื่อง Harry Potter ที่เพิ่งวางตลาด ก็ใส่โฆษณาขาย DVD เข้ามาในเมล์คุณโดยอัตโนมัติ เป็นต้น ตรงนี้ที่ต่างจาก Hotmail หรือ Yahoo ตรงที่ว่าพวกนี้ ก็โฆษณาเหมือนกันแต่ ใส่ banner โฆษณามาแบบสุ่ม บางครั้งผู้ใช้บริการสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง
มองในแง่ดีของการโฆษณาแบบนี้ของ GMail ข้อดีคือว่า ถ้าต้องมีโฆษณาก็ใส่ที่ใกล้เคียงกับความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้ระบบเมล์ มากกว่าได้รับโฆษณาอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่น่าสนใจเลย
หากมองในแง่ของผู้ใช้จริงๆ ก็แทบไม่ต่างกัน เพราะมันก็โฆษณาเหมือนกัน จะใกล้เคียงความสนใจของผู้ใช้หรือไม่ ผู้ใช้เมล์ปกติ ก็ไม่ค่อยสนใจจะดูมันอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น อยู่ตรงที่ว่า มีหลายคนสงสัยว่า GMail ทำแบบนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือเปล่า?
ลองนึกดูแบบว่า มีใครไม่รู้มาอ่านจดหมายของคุณละเอียดเลย จะคนหรือเครื่องจักร หรือคอมพิวเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ แต่มาอ่านจดหมายของคุณ ก่อนที่คุณจะอ่านซะอีก ตรงนี้ล่ะ แล้วแต่ว่าจะตีความกันอย่างไร คนที่รู้สึกว่าละเมิดสิทธิก็จะด่าโจมตี GMail ว่าเป็นการกระทำของผู้ที่มีเงินและหวังแต่เงิน แต่หากผู้ใช้ ไม่ถือสาว่าเครื่องจักร หรือคอมพิวเตอร์ มาตรวจสอบเมล์ของตัวเองก่อน ก็ถือว่าเป็นระบบที่น่าสนใจมากๆ
อีกคืออย่างตอนนี้ GMail ยังไม่เข้าใจภาษาไทย อีกหน่อยไม่แน่ ถ้าถือสาก็มีทางเลือกเยอะแยะไปเช่น Yahoo ที่ขยายเนื้อที่ฟรีให้เป็น 250Mbyte แล้ว
ผมไม่ได้มองในแง่ของผลประโยชน์ ใครได้ใครเสียอย่างไร แต่ผมกลับมองในแง่ของผู้สร้างระบบนี้ ผมทึ่ง เพราะมันเป็นความงดงามของการผสมผสานเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และไอที กับข้อมูลที่เป็นแค่ตัวอักษร เพื่อก่อให้เกิดช่องทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและสวยงาม ถือเป็นทางความสุดยอดของการออกแบบและความลงตัวทางเทคโนโลยีเพื่อธุรกิจเป็นที่สุด ..............